www.greeneryclinic.com

อาการปวดหลัง ปวดเอว เกิดได้อย่างไร

อาการปวดกล้ามเนื้อหลัง อาการปวดหลัง ปวดเอว เป็นอาการหนึ่งที่เป็นกันบ่อยๆ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นได้กับวัยผู้ใหญ่ขึ้นไป โดยเฉพาะหนุ่มสาวชาวออฟฟิศที่ต้องนั่งหน้าจอ มือควบคุมเมาส์ทั้งวัน อีกสาเหตุหนึ่งเกิดจากการบาดเจ็บในชีวิตประจำวัน เช่น ออกกำลังกายมากเกินไป นั่งเป็นเวลานานๆ ก้มๆ เงยๆ ทั้งวัน ยกของหนัก ซึ่งอาจจะทำให้หลังแข็ง และเกิดอาการปวดหลัง ปวดเอวได้อย่างมาก แต่ก็จะหายเองได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ โดยอาการที่รู้สึกได้ก็คือ จะปวดเมื่อย กล้ามเนื้อตึง บริเวณส่วนหลังหรือปวดเหนือบั้นเอวทั้งสองข้าง ถ้าหากเป็นหนักจนรู้สึกว่าหลังขยับไม่ได้หรือปวดร้าวจนลงไปถึงขาข้างใดข้างหนึ่ง นั่นอาจเกิดจากหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนร่วมกับการกดทับเส้นประสาทไขสันหลังได้ เพราะฉะนั้้นจำเป็นต้องจะต้องรีบไปพบแพทย์ทันที นอกจากนั้นแล้วอาการปวดหลัง ปวดเอว ส่วนใหญ่ก็ยังมีสาเหตุมาจากความผิดปกติของข้อต่อกระดูกสันหลัง ดังนี้

  1. หมอนรองกระดูกสันหลัง (Herniated Nucleus Pulposus)
  2. ข้อกระดูกสันหลังเคล็ด (Acute Strains and Sprains)
  3. ข้อต่อกระดูกสันหลังติดตึง (Joint Stiffness)
  4. กระดูกเสื่อม (Osteoarthritis)

การรักษาอาการปวดหลัง ปวดเอว ด้วยวิธีต่าง ๆ

  1. การรักษาด้วยยา เนื่องจากสาเหตุของอาการปวดหลัง ปวดเอวนั้น ส่วนใหญ่จะเกิดจากกลไกการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของข้อต่อกระดูกสันหลัง การกินยาจะไม่ช่วยแก้ไขกลไกการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของข้อต่อกระดูกสันหลัง ดังนั้นท่านที่มีอาการปวดหลัง ปวดเอว ควรกินยาเฉพาะเมื่อมีอาการปวดที่รุนแรงเท่านั้น และเมื่ออาการปวดลดดงแล้ว ก็ควรงดการกินยาแก้ปวด เช่น กินยาโดโลไมท์คลายความเกร็งของกล้ามเนื้อ
  2. การนอนพัก ในกรณีที่มีอาการปวดหลัง ปวดเอว อย่างรุนแรง ควรจะต้องนอน พักประมาณ 2-3 วัน ไม่ควรนอนพักเป็นเวลานานเกินไป เพราะหากผู้ที่มีอาการปวดหลัง ปวดเอวมีการลุกเดินและเคลื่อนไหวโดยเร็ว จะทำให้อาการปวดหลังหายเร็ว และสามารถกลับไปทำงานได้เร็วกว่าผู้ที่นอนพักเป็นเวลานาน
  3. การนวดคลายเส้น จะช่วยลดอาการปวดเมื่อยของกล้ามเนื้อที่เกิดจากการใช้งาน และทำให้เกิดการผ่อนคลาย แต่จะไม่ช่วยรักษาที่ต้นเหตุของการปวดหลังได้ ในผู้ที่มีอาการปวดหลัง ปวดเอวที่เกิดจากการมีพยาธิสภาพที่กระดูกสันหลัง เช่น หมอนรองกระดูกสันหลังมีการฉีกขาด หรือมีการกดทับเส้นประสาท ควรจะหลีกเลี่ยงการนวด ด้วยวิธีการดัดดึงข้อต่อ
  4. การใช้ความร้อนและความเย็นประคบ ในกรณีที่มีอาการปวดหลังรุนแรงและเฉียบพลัน การทาถูด้วยน้ำแข็งบริเวณที่ปวด จะช่วยลดอาการปวดหลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น
    1. การใช้แผ่นเจลเย็น หรือหากไม่มีให้ใช้ถุงพลาสติกใส่น้ำแข็งทุบ ละเอียดใส่ในปลอกหมอน วางบนบริเวณหลังที่มีอาการปวด เป็นเวลา 15-20 นาที ทำวันละ 3-4 ครั้ง ในช่วง 2-3 วันแรก
    2. การใช้แผ่นความร้อน จะใช้ในกรณีที่มีอาการปวดหลังให้วางแผ่นความร้อนที่บริเวณหลังประมาณ 15-20 นาที
  5. การรักษาด้วยเครื่องไฟฟ้า
    1. การรักษาด้วยความร้อน Shortwave Diathermy หรืออัลตร้าซาวนด์นั้น จะช่วยลดอาการปวดหลังและให้ผลการรักษาเพียงระยะสั้น แต่ไม่ช่วยแก้ไขปัญหา และสาเหตุที่แท้จริงของการปวดหลัง
    2. การรักษาด้วยเครื่องดึงหลัง การดึงหลังเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ใช้กันแพร่หลายในประเทศไทย และสาเหตุที่ต้องใช้เครื่องดึงหลัง ก็เนื่องมาจากแพทย์บางท่านที่ส่งต่อผู้ป่วยมาต้องการให้ใช้การดึงหลังด้วยเครื่อง ส่วนใหญ่อาการจะดีขึ้นเพียงช่วงระยะเวลาอันสั้น
  6. การฝังเข็ม คือ การใช้เข็มปักลงไปบนตำแหน่งจุดฝังเข็มตามร่ายกาย เพื่อให้การไหลเวียนของเลือดสะดวกขึ้น
  7. เราสามารถที่จะเลือกปักเข็มคลายกล้ามเนื้อเฉพาะบริเวณใดบริเวณหนึ่งก็ได้ จึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยบรรเทาอาการปวดหลัง ปวดเอว ลดการอักเสบของกล้ามเนื้อได้ดี
  8. การใส่ที่พยุงหลัง (Corset หรือ Lumbar Support) ไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อลำตัวอ่อนแรง ควรจะใช้ที่พยุงหลังในขณะที่มีอาการปวดหลัง ปวดเอว รุนแรงในขณะเปลี่ยนท่าทาง เช่น การลุกจากท่านอน มาเป็นท่านั่งท่านั่งมาเป็นท่ายืน และเมื่ออาการปวดหลังทุเลาลงแล้วให้หยุดการใช้ที่พยุงหลังให้เร็วที่สุด
  9. การรักษาด้วยการผ่าตัด เมื่อมีอาการหนักบ่งชี้ที่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น มีอาการปวดสันหลัง ปวดร้าวไปยังสะโพก ขาข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้างอ่อนแรง จนลุกเดินไม่ได้ ควบคุมระบบขับถ่ายไม่ได้ น้ำหนักลดผิดปกติ อาการเหล่านี้ผู้ป่วยก็อาจต้องจบลงด้วยการผ่าตัดกระดูกสันหลัง และถึงแม้ผ่าตัดแล้ว ก็อาจมีความจำเป็นต้องผ่าตัดซ้ำอีก เพราะบางท่านอาจมีอาการปวดหลังได้อีกหลังการผ่าตัด

วิธีป้องกันอาการปวดหลัง ปวดเอว

  1. ต้องมีการเคลื่อนไหวร่างกายในชีวิตประจำวันแบบสม่ำเสมอ แต่ไม่ต้องมาก เพื่อทำให้กล้ามเนื้อส่วนหลังเกิดความคล่องตัว
  2. หากต้องออกแรงทำอะไรเช่น ยกของหนัก ควรจะต้องทำการยืดเส้น ลองเคลื่อนไหวแขนขา บิดเนื้อบิดตัว ให้คล่องก่อน เป็นการเตือนกล้ามเนื้อให้รู้ตัวก่อน จะได้ไม่เกิดอาการเกร็งและบาดเจ็บ
  3. หากมีอาการปวดหลัง ปวดเอว หรือปวดเมื่อยระหว่างทำงาน ควรหยุดพักก่อนอย่าฝืน
  4. หากอายุเพิ่มมากขึ้น เช่น อายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป ควรจะต้องยืดกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นในชีวิตประจำวัน เพื่อเตรียมพร้อมในการใช้งานให้คล่องตัว
  5. การใช้อุปกรณ์ทางกายภาพบำบัดต่างๆ เช่น เครื่องอัลตราซาวน์ เครื่องกระตุ้นไฟฟ้ากล้ามเนื้อเพื่อลดอาการปวดหลัง ปวดเอว เป็นต้น
  6. การบริหารท่าต่างๆ เช่น การเล่นโยคะ เต้นแอโรบิค การนวดคลายกล้ามเนื้อ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ

หลักการบริหารร่างกายเพื่อรักษาอาการปวดหลัง ปวดเอว

สำหรับวัตถุประสงค์ของการบริหารร่างกายนี้ก็เพื่อเป็นการรักษาอาการปวดหลัง เป็นวิธีการรักษาผู้ที่มีอาการปวดหลัง ปวดเอว ที่มีการพัฒนาเทคนิคการรักษาและผสมผสาน เทคนิคการรักษาหลายๆ อย่างเข้าด้วยกัน เพื่อทำให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น อาการหายเร็วขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในการช่วยรักษาอาการปวดหลัง ปวดเอวนั้นก็คือ การเน้นดูแลรักษาอาการปวดหลังด้วยตนเอง ด้วยการบริหารร่างกายด้วยท่าบริหารที่เหมาะสมกับสาเหตุของการปวดหลัง โดยนักกายภาพบำบัดจะทำการตรวจร่างกายและวิเคราะห์เพื่อหาสาเหตุของการปวดหลัง เพื่อแนะนำท่าบริหารร่างกายที่เหมาะสมกับปัญหาของแต่ละท่าน ในผู้ที่มีอาการปวดหลังบางท่านอาจมีความจำเป็นต้องได้รับการดัดดึงข้อต่อ กระดูกสันหลังร่วมด้วย และต้องมีการปรับเปลี่ยนกิจกรรม และท่าทางให้ถูกต้อง และควรจะต้องเริ่มทำการบริหารร่างกายและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงานและท่าทางทันทีภายใน1-2วันหลังจากเริ่มมีอาการปวดหลัง และนอกจากนั้นแล้วยังมีการมุ่งเน้นถึงการป้องกันไม่ให้มีอาการปวดหลังซ้ำ